การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ |
|||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ทนายความเชียงใหม่จะเสนอการนับระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินจากที่ดินที่มีสิทธิครอบครองแล้วมีการออกโฉนดที่ดิน จึงเกิดปัญหาว่า สามารถนับระยะเวลาที่เป็นการครอบครองที่ดินในระหว่างที่ดินเป็นสิทธิครอบครองเข้ารวมกับที่ดินที่ได้ออกเป็นโฉนดที่ดินได้หรือไม่ |
|||||||
ก่อนอื่นต้องกล่าวเสียก่อนว่า ที่ดินที่มีสิทธิครอบครองคือที่ดินอย่างไร ซึ่งท่านต้องทราบเสียก่อนว่า ที่ดินอย่างไรเป็นสิทธิครอบครอง ที่ดินอย่างไดเรียกว่า ที่ดินมีกรรมสิทธิ์ โดยที่ดินที่มีสิทธิครอบครอบคือที่ดินที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ เพียงแต่รัฐอนุญาตให้ถือครอบครองที่ดินเท่านั้น ที่ดินประเภทนี้มีอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน โดยจะไล่เรียงจากเอกสารสิทธิที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดไป คือ นส3 นส3ก สค1 ใบเยียบย่ำ ใบตราจอง ส่วนที่ดินที่รัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่อนุญาตให้ครอบครองให้กระทำการเฉพาะกิจ เช่น สปก เป็นต้น |
|||||||
|
ทนายความเชียงใหม่ขอสรุปจากคำพิพากษาดังกล่าวว่า ท่านสามารถนับระยะเวลาได้นับแต่วันที่ได้ออกโฉนดที่ดินให้แก่เจ้าของเดิมเป็นต้นไป เพราะที่ดินที่อยู่ในระยะเวลาที่ที่ดินมีสิทธิครอบครอง ท่านไม่สามารถจะเอากรรมสิทธิ์จากเจ้าของเดิมได้ ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวที่ดินไม่มีกรรมสิทธิ์อยู่นั้นเอง ฉะนั้น จึงต้องนับระยะเวลาตั้งแต่มีการออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป คำตอบ ว่าท่านจะนับระยะเวลาได้ 25 ปี หรือ 5 ปี นั้น ก็ตอบได้คำตอบจากคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นว่า ท่านได้นับระยะเวลาได้เพียง 5 ปี เท่านั้น จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679 - 682/2559 ที่ดินพิพาทในคดีนี้ โจทก์ได้มาโดยการซื้อมาจากเอกชน มิใช่ดำเนินการเวนคืนมาตาม กฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ เพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่งปิโตรเลียม เพื่อจัดสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียม โรงแยกก๊าช ท่าเรือ คลังปิโตรเลียม หรือเพื่อใช้ในการวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นอันจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับกิจการดังกล่าว จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจของโจทก์เท่านั้น ข้ออ้างที่ว่าใช้สำหรับเป็นทางออกหนีไฟของคลังก๊าช เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันอันตราย ก็เป็นเรื่องการปฏิบัติงานภายในหน่วยงานของโจทก์ ซึ่งมีสถานะทางกฎหมายเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชนและมีการดำเนินการทางธุรกิจในฐานะเดียวกับเอกชน ไม่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ กรณียังถือไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์อันร่วมกันเช่นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (3) การที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากนายประไว และจำเลยที่ 2 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบุคคลซึ่งรับโอนและครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากนายประไวตั้งแต่ปี 2533 เรื่อยมาโดยสงบ เปิดเผย เป็นเวลาติดต่อกันมาเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 จำเลยทั้งสี่สามารถยกอายุความการครอบครองขึ้นมาต่อสู้ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13041/2558 โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดสรรที่ดินในโครงการเป็นผู้สร้างรั้วปิดกั้นที่ดินพิพาทเอง เมื่อจำเลยมิได้ปิดกั้นที่ดินพิพาท จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายกระทำละเมิดต่อโจทก์ กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนรั้วที่ปิดกั้นที่ดินพิพาท จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทั้งการที่โจทก์ไม่จัดให้มีที่กลับรถเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการที่มีที่กลับรถเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 มาตรา 32 เป็นการที่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดให้โจทก์ต้องกระทำการดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง |
โดย ทนายความเชียงใหม่ |