สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

ส่งข้อความทางผ่านทางอินเตอร์เน็ตเพื่อขู่เข็ญให้จ่ายเงินเป็นความผิดอย่างไร

ในสมัยนี้ อินเตอร์หากใช้ในทางที่ถูกต้องก็เป็นประโยชน์อย่างมาก หากใช้ในทางที่ผิดแล้วย่อมมีโทษเป็นอย่างมากเช่นกัน ดังนั้น การที่จะใช้ระบบอินเตอร์ทำอะไรนั้นต้องใช้ความระมัดระวังต้องกลั่นกรองก่อนที่จะกดคลิกหรือแชร์ข้อมูลใดๆ บนระบบอินเตอร์เน็ต
ซึ่งในบทความนี้ เป็นเรื่องข้อการข่มขู่เรียกเงินทางระบบอินเตอร์เน็ต นั้น ย่อมเป็นความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ได้
โดยกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานรีดเอาทรัพย์นั้น อยู่ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา มาตรา 338  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
จะเห็นได้ว่า ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดที่มีโทษสูงถึง 10 ปี
ดังนั้น กรณีนี้ ได้นำเอาคำพิพากษามาเป็นการประกอบการอธิบายในการกระทำความผิดดังกล่าว ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2561 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำภาพและวิดีโอลามกส่งเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ส่งให้บุตรสาวโจทก์ดูเพื่อประจานโจทก์ ซึ่งมีเพียงจำเลยและบุตรสาวโจทก์เท่านั้นที่มีรหัสในการเข้าดูประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าดูได้หากไม่ทราบรหัส จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4)

จำเลยส่งข้อความทางผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตถึงโจทก์หลายครั้ง ขู่เข็ญโจทก์ให้จ่ายเงินจำเลย มิเช่นนั้นจะเปิดเผยความลับรูปภาพและวิดีโอที่โจทก์ไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายอื่น ในขณะที่ยังไม่ได้หย่าขาดจากจำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหายครบองค์ประกอบความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินให้ตามที่จำเลยขู่เข็ญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์
ดังคำพิพากษาของศาลดังกล่าวนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4) แต่ยังคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา มาตรา 338