| ทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวเป็นความผิดอันยอมได้หรือไม่ | 
|---|
| บ่อยครั้งที่เห็นว่า มีสามีภริยาได้ทำร้ายร่างกายกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด ก็ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งหากว่าเป็นการทำร้ายร่างกายกันถึงเลือดตกยางออกแล้ว ก็เป็นความผิดฐายทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และหากว่าการทำร้ายร่างกายนั้น ผู้ถูกทำร้ายต้องรักษาตัวถึงขนาดเกินกว่า 20 วันแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตร 297 ทั้งนี้ การทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญาไม่ถือว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่หากว่า การใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายในครอบครัวแล้ว ย่อมถือได้ว่า เป็นความอันอันยอมความได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคสอง นั้นเอง ดังนั้น หากว่าเป็นการทำร้ายร่างกายกับในครอบครัวแล้ว จึงเป็นความผิดอันยอมความได้ และเมื่อมีการตกลงถอนคำร้องทุกข์ หรือถอนฟ้องแก่กันแล้ว คดีอาญาย่อมสามารถระงับได้ 
 
 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 92, 295, 297 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550  มาตรา 3, 4 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย 
 
 
 | 
| ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 295 และเป็นความผิดอันยอมความได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว  พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคสอง ชอบหรือไม่  เห็นว่า แม้รายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารท้ายฟ้อง ระบุว่า  การบาดเจ็บของผู้เสียหายใช้เวลารักษา 2 สัปดาห์  หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนก็ตาม  แต่ก็เป็นเพียงความเห็นของแพทย์ที่ทำไว้ขณะตรวจรักษาบาดแผลของผู้เสียหายเท่านั้น  เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส  ต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา  และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน  ซึ่งเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ  และความผิดดังกล่าวมิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น  ซึ่งศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามฟ้องว่า  การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส  และลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ได้  จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว  จึงไม่เป็นความผิดอันยอมความได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว  พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคสอง ตอนท้าย  แต่อย่างไรก็ตาม  ความผิดฐานกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว  พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง  เป็นความผิดอันยอมความได้ตามมาตรา 4 วรรคสอง ตอนต้น  เมื่อผู้เสียหายยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2558  เอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 2 ว่า  ไม่ประสงค์หรือติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป  พอแปลความได้ว่าเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมาย  สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานดังกล่าว  ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา  39 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6  ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบา  เพื่อมิให้คดีล่าช้า  ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค  6 วินิจฉัย เห็นว่า  บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจากการทำร้ายของจำเลยไม่ร้ายแรงมากนัก  ประกอบกับผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยเนื่องจากผู้เสียหายกับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว  ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ก่อนลดโทษ  จึงหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี 
 บทความที่น่าสนใจ |