สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 91 สมาชิกของสมาคมจะลาออกจากสมาคมเมื่อใดก็ได้ เว้นแต่ข้อบังคับของสมาคมจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น


 

 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1869/2534 แม้พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอถอน พ. ออกจากการเป็นประธานกรรมการ และผู้จัดการมูลนิธิโดยมิได้แนบคำร้องของกรรมการมูลนิธิที่มีไปถึงพนักงานอัยการอันเป็นเหตุให้ยื่นคำร้องขอต่อศาลแต่คำร้องดังกล่าวมิใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้องการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 เพราะพนักงานอัยการมีอำนาจร้องขอต่อศาลได้โดยลำพังอยู่แล้ว ส่วนปัญหาว่าคำร้องของกรรมการมูลนิธิดังกล่าวจะเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้นหรือเป็นเท็จหรือไม่ ก็เป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา เมื่อตามคำร้องบรรยายถึงเหตุต่าง ๆ ที่ผู้คัดค้านในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิและเป็นผู้จัดการได้จัดการมูลนิธิผิดพลาดทำให้มูลนิธิเสื่อมเสียและฝ่าฝืนข้อความแห่งตราสาร โดยได้แนบสำเนาตราสารก่อตั้งมูลนิธิมาท้ายคำร้องด้วยแล้ว กับได้ขอให้ถอดถอนผู้คัดค้านออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและขอให้แต่งตั้งผู้อื่นเป็นแทนดังนี้ สภาพแห่งคำร้องและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งคำร้องตลอดจนคำขอบังคับแจ้งชัดดีแล้ว ไม่เป็นคำร้องที่เคลือบคลุม พ. เป็นประธานกรรมการและผู้จัดการมูลนิธิไม่ยอมเรียกประชุมวิสามัญตามที่คณะกรรมการร้องขอ ทั้งที่มีเหตุต้องเลือกตั้งกรรมการอื่นทำหน้าที่เป็นเหรัญญิกแทนคนเดิมซึ่งถึงแก่กรรม กับมิได้เรียกประชุมสามัญประจำปีโดยไม่มีเหตุสมควรจึงเป็นการจัดการผิดพลาดและฝ่าฝืนข้อความแห่งตราสารก่อตั้งมูลนิธิ พนักงานอัยการมีสิทธิร้องขอให้ถอดถอน พ. ออกจากตำแหน่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 91.

 

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นายสุพัฒน์ พัฒนาวงศ์ เป็นประธานกรรมการและผู้จัดการของมูลนิธิสุขาวดี ซึ่งมีสำนักงานชั่วคราวตั้งอยู่ที่ตึกสมาคมจีนโผวเล้ง แห่งประเทศไทย ต่อมาคณะกรรมการของมูลนิธิเห็นควรให้ย้ายที่ทำการทรัพย์สินของมูลนิธิไปยังสำนักงานแห่งใหม่และย้ายทรัพย์สินไปแล้ว แต่นายสุพัฒน์ มีความขัดแย้งกับกรรมการคนอื่น และไม่ยอมเปิดประชุมวิสามัญ ทั้ง ๆ ที่ยังมีเรื่องตั้งกรรมการเหรัญญิกของมูลนิธิแทนนายดำริ เกียรติเชิตแสงสุขซึ่งถึงแก่ความตาย นอกจากนี้นายสุพัฒน์ ยังไม่เรียกประชุมสามัญประจำปีตามตราสารของมูลนิธิ ทำให้มูลนิธิเกิดความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำสั่งถอดถอนนายสุพัฒน์ พัฒนวงศ์ ออกจากตำแหน่งประธานและผู้จัดการมูลนิธิสุขาวดี และแต่งตั้งนายเติมศักดิ์ ตั้งเจตนาพรรองประธานฯ เป็นประธานมูลนิธิสุขาวดีแทน

นายสุพัฒน์ พัฒนาวงศ์ ยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม ผู้ร้องไม่มีอำนาจที่จะร้องขอให้ถอนผู้คัดค้านจากตำแหน่งประธานและผูัจัดการมูลนิธิ กรรมการมูลนิธิไม่เคยมีมติให้ย้ายที่ทำการ กรณีไม่มีกิจการที่จะต้องเรียกประชุมวิสามัญเหตุที่ไม่เรียกประชุมกรรมการมูลนิธิประจำปีและเมื่อกรรมการเหรัญญิกถึงแก่กรรม เนื่องจากผู้คัดค้านไม่มีเอกสารที่จะดำเนินการเรียกประชุม ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนถอนผู้คัดค้านออกจากตำแห่งประธานกรรมการและผู้จัดการมูลนิธิสุขาวดี ให้คณะกรรมการเลือกประธานซึ่งจะทำหน้าที่ผู้จัดการภายในกำหนด 60 วัน คำขอนอกจากนี้ให้ยก

ผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุมเนื่องจากพยานหลักฐานเกี่ยวกับคำร้องของกรรมการมูลนิธิที่ผู้ร้องอ้างว่าได้รับเป็นเท็จโดยบุคคลอื่นทำปลอมขึ้น และผู้ร้องไม่ส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวมาพร้อมกับคำร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาว่าคำร้องของกรรมการมูลนิธิที่มีไปถึงพนักงานอัยการผู้ร้องจะทำปลอมขึ้นหรือเป็นเท็จอันจะเป็นมูลเหตุให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่ เป็นรายละเอียดซึ่งผู้ร้องมีสิทธินำสืบในชั้นพิจารณาได้ และคำร้องดังกล่าวมิใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้องการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 เพราะพนักงานอัยการมีอำนาจร้องขอต่อศาลให้ถอดถอนผู้จัดการมูลนิธิได้โดยลำพัง ผู้ร้องจึงไม่ต้องแนบสำเนาหนังสือดังกล่าวมาพร้อมกับคำร้องเมื่อตามคำร้องบรรยายถึงเหตุต่าง ๆ ที่ผู้คัดค้านในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิและเป็นผู้จัดการได้จัดการมูลนิธิผิดพลาดทำให้กิจการมูลนิธิเสื่อมเสียและฝ่าฝืนข้อความแห่งตราสาร ซึ่งผู้ร้องได้แนบสำเนาตราสารก่อตั้งมูลนิธิสุขาวดีมาท้ายคำร้องด้วย กับได้ขอให้ถอดถอนผู้คัดค้านออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและผู้จัดการมูลนิธิสุขาวดีและแต่งตั้งนายเติมศักดิ์ ตั้งเจตนาพร รองประธานกรรมการมูลนิธิสุขาวดีแทน สภาพแห่งคำร้องและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตลอดจนคำขอบังคับตามคำร้องของผู้ร้องจึงแจ้งชัดดีแล้วหาได้เคลือบคลุมไม่

ปัญหาต่อไปว่า มีเหตุที่จะถอดถอนผู้คัดค้านออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและผู้จัดการมูลนิธิสุขาวดีหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าในข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า ผู้คัดค้านเป็นประธานกรรมการและผู้จัดการมูลนิธิสุขาวดี เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการย้ายทรัพย์สินและที่ทำการหรือสำนักงานของมูลนิธิเกิดขึ้น คณะกรรมการมูลนิธิจำนวน 4 คนได้มีหนังสือขอให้ผู้คัดค้านเรียกประชุมวิสามัญ แต่ผู้คัดค้านไม่ยอมเรียกประชุมอ้างว่าไม่มีเหตุที่จะประชุม และเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิมีหนังสือถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิขอให้แจ้งผู้คัดค้านให้เรียกประชุมแก้ปัญหาผู้คัดค้านก็ตอบปฏิเสธอ้างว่าเอกสารที่จะต้องใช้ในการประชุมถูกขนย้ายไปไว้ที่อื่น ซึ่งข้ออ้างของผู้คัดค้านดังกล่าวหามีน้ำหนักควรรับฟังไม่ นอกจากนี้ยังปรากฏว่า เมื่อนายดำริเกียรติเชิดแสงสุข กรรมการและเหรัญญิกของมูลนิธิสุขาวดีถึงแก่กรรมผู้คัดค้านก็ไม่เรียกประชุมกรรมการเพื่อเลือกบุคคลมาแต่งตั้งเป็นเหรัญญิกคนใหม่ ทำให้การเบิกจ่ายเงินของมูลนิธิไม่สามารถทำได้เพราะในการเบิกจ่ายเงินผู้คัดค้านจะต้องลงลายมือชื่อร่วมกับเหรัญญิกตามตราสารมูลนิธิข้อ 16 และปรากฏด้วยว่า เมื่อถึงคราวที่จะต้องเรียกประชุมสามัญประจำปี ผู้คัดค้านก็ไม่เรียกประชุมตามตราสารของมูลนิธิ ทำให้เกิดข้อขัดข้องในการบริหารของมูลนิธิพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าผู้คัดค้านซึ่งเป็นประธานกรรมการมูลนิธิสุขาวดีและเป็นผู้จัดการมูลนิธิตามตราสารมูลนิธิข้อ 9 ปฏิเสธการเรียกประชุมโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการจัดการผิดพลาด และเป็นการฝ่าฝืนข้อความแห่งตราสารก่อตั้งมูลนิธิสุขาวดี ข้อ 11, 12 พนักงานอัยการผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ถอดถอนผู้คัดค้านออกจากตำแหน่งได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 91

พิพากษายืน.