เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น  | 
	        
|---|
 ที่งอก  เมื่อมีการครอบครองปรปักษ์แล้ว จะถือว่า  ที่ดินที่เป็นที่งอกถูกครอบครองปรปักษ์ไปด้วยหรือไม่   | 
	        
ลูกพี่ลูกน้องกับจำเลยเบิกความว่า  ขณะนางฮวยได้พูดยกที่ดินพิพาทให้จำเลยพยานอยู่ในเหตุการณ์ด้วย  และยังเบิกความอีกว่าขณะนางฮวยถึงแก่ความตายพยานมีอายุเพียง 7 ถึง 8 ขวบ  ดังนั้นขณะนางฮวยพูดยกที่ดินพิพาทให้จำเลย พยานต้องอายุไม่ถึง 7 ขวบ  อาจจะอายุเพียง 5 ถึง 6 ขวบ  จึงไม่น่าเชื่อว่านายวิชัยจะรู้เรื่องและได้ยินนางฮวยพูดยกที่ดินพิพาทให้จำเลยและพยานสามารถจำเหตุการณ์ดังกล่าวได้  ซึ่งแม้แต่ตัวจำเลยเองยังไม่เคยทราบเรื่องนางฮวยยกที่ดินพิพาทให้จำเลยจนกระทั่งจำเลยอายุครบ  20 ปี นายวงษ์จึงบอกเรื่องนางฮวยยกที่ดินพิพาทให้จำเลยทราบดังจำเลยอ้าง  ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงญาติพี่น้องอื่น ๆ ของจำเลยก็น่าจะบอกให้จำเลยทราบก่อนอายุครบ  20 ปีแล้ว พยานจำเลยจึงขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อถือ  คงมีแต่คำพยานบอกเล่าซึ่งมีน้ำหนักน้อย ส่วนโจทก์ที่ 1  ซึ่งแต่งงานอยู่กินเป็นภริยานายหล่อเป็นเวลา 40 กว่าปี และขณะนี้มีอายุถึง 80 ปี  ยืนยันว่าได้อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 54 ตั้งแต่แต่งงานกับนายหล่อจนถึงปัจจุบันโดยนายฮ้อเคยบอกพยานว่าจะแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็นสองส่วน  ให้นายหล่อสามีโจทก์ที่ 1 ทางทิศใต้ครึ่งหนึ่ง  ส่วนทางด้านทิศเหนืออีกครึ่งหนึ่งให้แก่บุตรของนายหล่อที่เกิดจากนางต๋อยก็คือนายวงษ์กับจำเลย  โจทก์ที่ 1 ก็ได้ครอบครองอาศัยอยู่บนที่ดินพิพาทมาโดยตลอดจนบัดนี้  ซึ่งพยานจำเลยเองก็ยืนยันเจือสมกับโจทก์ที่ 1 ว่า  เห็นโจทก์ทั้งสี่ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่พิพาทโดยไม่มีใครโต้แย้งโดยเฉพาะจำเลยร่วมอายุถึง  30 ปีแล้ว  ก็เบิกความยืนยันว่าตั้งแต่เกิดมาก็เห็นโจทก์ทั้งสี่ปลูกบ้านอยู่บนที่ดินพิพาทแล้ว  ทั้งเมื่อพิเคราะห์สภาพครอบครองที่ดินโฉนดที่พิพาทมีลักษณะการครอบครองแบ่งแยกกันชัดเจน  ฝ่ายโจทก์เป็นภริยาน้อยของนายหล่อ  และฝ่ายจำเลยเป็นภริยาหลวงของนายหล่อซึ่งเป็นบุตรชายของนายฮ้อและนางฮวยตามเหตุผลหลังน่าจะสอดคล้องกับที่โจทก์ที่  1 นำสืบว่านายฮ้อบิดานายหล่อสามีโจทก์ที่ 1 แบ่งที่ดินเป็นสองส่วนด้านทิศใต้ยกให้นายหล่อกับโจทก์ที่  1 ปลูกบ้านอยู่กับลูก ๆ  ส่วนทางด้านทิศเหนือยกให้แก่บุตรของนายหล่อที่เกิดจากนางต๋อยภริยาหลวงของนายหล่อซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้ว  ยังเหลือแต่ลูก ๆ คือจำเลยกับนายวงษ์นั่นเอง ดังจะเห็นได้ว่า ฝ่ายโจทก์ที่ 1  แม้นายหล่อตายแล้วและลูก ๆ แต่งงานมีครอบครัวแล้ว คือ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4  ก็ยังคงปลูกบ้านของตนอยู่บนที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยโจทก์ที่ 1  เป็นผู้ยกที่ดินพิพาทบางส่วนให้ลูก ๆ ปลูกบ้านอยู่อาศัย แสดงว่าโจทก์ที่ 1  ได้อาศัยในที่ดินพิพาทโดยตลอด ด้วยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของโดยถือว่านายฮ้อยกที่ดินพิพาทให้นายหล่อกับโจทก์ที่  1 ครอบครองทางทิศใต้จริง การที่นายฮ้อทำพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.2  ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8662 เฉพาะส่วนของตนให้นายวงษ์บุตรของนายหล่อที่เกิดจากนางต๋อย  และยังอ้างว่าส่วนของนางฮวยยกให้จำเลยด้วย นางฮวยกลับไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้จำเลยเป็นหลักฐานเหมือนที่นายฮ้อยกให้นายวงษ์จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย  ๆ เป็นที่น่าสงสัยอยู่ และแม้จำเลยจะอ้างว่า  ระหว่างนายวงษ์มีชีวิตอยู่ได้ให้นางสมหมายและนายคนึงเช่าที่ดินพิพาทอยู่อาศัยตามเอกสารหมาย  ล.5 และ ล.6 ก็ตาม ก็อาจจะเป็นเพราะนางสมหมายและนายคนึงทราบว่านายฮ้อทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้นายวงษ์จึงได้ทำสัญญาเช่ากับนายวงษ์เพราะอาจกลัวนายวงษ์ไม่ให้อยู่ในที่ดินพิพาทก็เป็นได้  จึงได้มีการทำสัญญาเช่ากันแต่ก็ทำสัญญากันครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2524  ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2527 เท่านั้น  จึงไม่ใช่เป็นข้อยืนยันว่าทั้งสองคนดังกล่าวรับว่าที่ดินพิพาทที่ปลูกบ้านเป็นที่ของจำเลย  พยานจำเลยและจำเลยร่วมที่อ้างว่าจำเลยเป็นผู้อนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่พิพาทจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าโจทก์ทั้งสี่  เชื่อว่าโจทก์ทั้งสี่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า  10 ปี แม้ตามแนวที่วิวาทตามเอกสารหมาย จ.ล.1 บ้านของโจทก์ที่ 1  จะอยู่นอกเขตที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกซึ่งจดแม่น้ำลพบุรีที่ดินส่วนดังกล่าวก็ย่อมเป็นที่งอกริมตลิ่งเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาท  เมื่อโจทก์ที่ 1 ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 10 ปี  ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1382 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย"   |