ขับรถทางเอกเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะถูกเสมอไปหรือไม่ |
---|
การกระทำโดยประมาทนั้น จะต้องพิจารณาว่า การกระทำเช่นนั้น วิญญูชนทั่วไปได้ปฎิบัติตนอย่างไรเป็นมาตรฐานในการชี้วัดว่า การกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยประมาทหรือไม่ หากพิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว การที่รถยนต์ซึ่งเป็นทางเอกขับมาถึงบริเวณ 4 แยกจะต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน หากขับรถยนต์มาด้วยความเร็วแล้ว เกิดอุบัติเหตุแล้ว จะอ้างว่าตนเองผู้ขับขี่รถยนต์มาโดยใช้ถนนเป็นทางเอก ไม่เป็นฝ่ายผิดหรือไม่ประมาท ข้ออ้างดังกล่าวย่อมไม่อาจฟังได้ คดีอุทาหรณ์ แม้จำเลยที่ 1 ขับรถมาในทางโทโดยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรคือ หยุดรถดูความปลอดภัยตามสัญญาณป้ายจราจรก่อนที่ขับผ่านเข้าไปในสี่แยก จำเลยที่ 2 ซึ่งขับรถมาในทางเอกก็ต้องชะลอรถลงแล้วดูความปลอดภัยก่อนด้วยเช่นกัน การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไปชนบริเวณล้อหลังด้านขวาของรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับมาแม้ชนแล้วรถบรรทุกสิบล้อยังแล่นต่อไปอีกเป็นระยะทางยาวถึง 7 เมตร แสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจหยุดรถทัน ไม่มีการชะลอก่อนถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยประมาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2544 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองขับรถด้วยความประมาทผ่านทางร่วมทางแยกไปด้วยความเร็ว เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันอย่างแรงในบริเวณสี่แยกจนพลิกคว่ำและชนเสาสัญญาณไฟจราจรของทางราชการเสียหาย จำเลยที่ 2 และเด็กชายวิโรจน์ได้รับอันตรายสาหัส ภายหลังเกิดเหตุจำเลยทั้งสองหลบหนีไปโดยไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกพ่วงสิบแปดล้อไปตามถนนมุ่งหน้าจากอำเภอวาปีปทุมไปทางอำเภอสตึก ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกสิบล้อจากอำเภอพุทไธสงมุ่งหน้าไปทางอำเภอเกษตรวิสัยรถทั้งสองคันชนกันบริเวณกลางสี่แยกที่ถนนดังกล่าวตัดกัน คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำโดยประมาทตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทบัณฑิต เกษากิจ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยเบิกความว่า หลังจากรับแจ้งเหตุแล้วไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกพ่วงสิบแปดล้อพลิกตะแคงคว่ำทับเสาสัญญาณไฟจราจรและพบรถบรรทุกสิบล้อพลิกตะแคงอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยมีร่องรอยการชนที่บริเวณล้อหลังด้านขวาของรถบรรทุกพ่วงสิบแปดล้อ และรอยครูดของล้อรถบนผิวถนนตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีจราจรบริเวณที่เกิดเหตุเส้นทางสายอำเภอพุทไธสงไปอำเภอเกษตรวิสัยเป็นเส้นทางเอก ส่วนบริเวณเส้นทางสายอำเภอวาปีปทุมไปอำเภอสตึกเป็นเส้นทางโทบริเวณก่อนถึงสี่แยกในเส้นทางดังกล่าวมีป้ายจราจร อักษร"หยุด" แสดงไว้ เห็นว่าโดยปกติทั่วไปแล้วผู้ขับรถไม่ว่าจะขับมาจากทางทิศใดเมื่อขับไปถึงบริเวณสี่แยกจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษโดยจะต้องชะลอความเร็วลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีป้ายสัญญาณจราจรบอกให้"หยุด" ก็ต้องหยุดรถก่อนเพื่อดูว่าจะขับต่อไปปลอดภัยหรือไม่ หากเป็นรถที่แล่นมาจากทางเอกถึงแม้จะไม่มีสัญญาณป้ายจราจรบอกให้หยุดก็สมควรที่ผู้ขับจะชะลอรถจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัย |
แล้วจึงจะขับต่อไปดังนั้น ในคดีนี้แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรคือ หยุดรถดูความปลอดภัยตามสัญญาณป้ายจราจรก่อนที่จะขับผ่านเข้าไปในสี่แยกจำเลยที่ 2 ซึ่งขับรถมาในทางเอกก็ต้องชะลอรถลงแล้วดูความปลอดภัยก่อนด้วยเช่นกัน มิใช่ว่าขับรถมาในทางเอกแล้วจะไม่ต้องระมัดระวังความปลอดภัยเมื่อถึงทางแยก การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไปชนบริเวณล้อหลังด้านขวาของรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับมา จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยยางของล้อรถบรรทุกสิบล้อบนผิวถนนยาวประมาณ 7 เมตร จากจุดที่ชนไปถึงจุดที่รถคันดังกล่าวพลิกตะแคงซ้าย แสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจหยุดรถทัน แม้ชนแล้วรถบรรทุกสิบล้อยังแล่นต่อไปอีกเป็นระยะทางยาวถึง 7 เมตร เมื่อพิจารณาประกอบกับสภาพของผลการถูกชนแล้วเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกสิบล้อมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีการชะลอก่อนถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น |
บทความที่น่าสนใจ |
-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร
|