สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

ข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยเพิ่มเมื่อลูกหนี้ผิดนัด มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ

กรณีการทำสัญญากู้ยืมเงินมักจะระบุว่า  เมื่อมีการผิดนัดตามสัญญากู้ยืมเงินแล้ว  เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกเอาดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยปกติ  เป็นการคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ถูกต้องสมควร  มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ  ไม่ใช่การคิดดอกเบี้ยตามปกติ  กฎหมายย่อมให้อำนาจในการลดดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นได้ตามสมควร 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3348/2542 
จำเลยเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ในอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปี หากจำเลยประพฤติผิดเงื่อนไขในสัญญาหรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จึงเป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าหากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ จำเลยยอมให้โจทก์ คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 เมื่อศาลเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยอันเป็นเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนก็ปรับลดเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกหนี้ ในอัตราสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและ พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ไม่ทำให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่กำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าไม่เป็นเบี้ยปรับ แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติใดให้อำนาจศาลที่จะงดเบี้ยปรับเสียทั้งหมด ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปี จากต้นเงิน 2,230,000 บาท เท่ากับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไป อันเป็นอัตราปกติที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ก่อนผิดนัด จึงมีผลเท่ากับเป็นการงดเบี้ยปรับที่จำเลยต้องรับผิดชำระ ให้โจทก์เสียทั้งสิ้น ไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย ศาลฎีกา เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

 

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงิน 2,483,914.50 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากเงินจำนวน2,230,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 89449 ตำบลศาลาธรรมสพน์ อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบจำนวน

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน2,483,914.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน2,230,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 89449 ตำบลศาลาธรรมสพน์ อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปีจากต้นเงิน 2,230,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่าเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2539 จำเลยได้กู้เงินโจทก์ 2,230,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไป ซึ่งในวันทำสัญญากำหนดไว้ร้อยละ 16.25 ต่อปี หากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ผิดเงื่อนไขซึ่งกำหนดไว้ร้อยละ 18.5 ต่อปีทั้งนี้ จำเลยยอมให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้ โดยจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์เดือนละไม่น้อยกว่า 29,000 บาท ภายในวันที่ 11 ของทุกเดือน จำเลยได้รับเงินกู้จากโจทก์เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2539 และได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 89449 ตำบลศาลาธรรมสพน์ อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันในวงเงิน 2,230,000 บาท มีข้อตกลง ว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยยอมให้บังคับเอา

จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบจำนวน ต่อมาโจทก์อาศัยอำนาจตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง คือระหว่างวันที่ 11 ตุลาคม 2539 ถึงวันที่ 2 ธันวาคม 2539 อัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม 2539 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2540 ร้อยละ 13.25 ต่อปี และระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2540 ถึงวันฟ้องร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่จำเลยกู้เงินจากโจทก์แล้วจำเลยไม่เคยชำระหนี้แก่โจทก์เลย คงมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาของโจทก์ว่าข้อตกลงในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 ที่มีข้อความโดยสรุปว่า ในกรณีที่ผู้กู้ผิดนัดผิดเงื่อนไขผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดร้อยละ 18.5 ต่อปี เป็นข้อสัญญาที่กำหนดเบี้ยปรับไว้หรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มีสิทธิกำหนดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไปและอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ผิดเงื่อนไข ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 4 และมาตรา 6 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 อันเป็นกฎหมายทั่วไปที่ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี การที่สัญญากู้เงินกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากอัตราปกติร้อยละ 16.25 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี เมื่อจำเลยผิดนัดผิดเงื่อนไขจึงมิใช่ข้อกำหนดในเรื่องเบี้ยปรับนั้น เห็นว่า เบี้ยปรับเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่คู่สัญญากำหนดไว้ล่วงหน้าว่าหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรให้เจ้าหนี้ริบหรือเรียกเอาเบี้ยปรับนั้นได้ เมื่อสัญญากู้เงินข้อ 2 และข้อ 6 มีใจความโดยสรุปว่า จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ในอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปี โดยผ่อนชำระให้โจทก์เป็นรายเดือนอย่างน้อยเดือนละ 29,000 บาท ภายในวันที่11 ของทุกเดือน หากจำเลยประพฤติผิดเงื่อนไขในสัญญา หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ18.5 ต่อปี ข้อสัญญาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้กับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยผิดนัด จึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยอันเป็นเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับนั้นลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่งการที่โจทก์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกหนี้ในอัตราสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ไม่ทำให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่กำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าเมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ไม่เป็นเบี้ยปรับดังที่โจทก์ฎีกา อย่างไรก็ดีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้" แสดงว่ากฎหมายประสงค์จะให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าเบี้ยปรับตามสัญญาเหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่หากเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินสมควรก็อาจใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับลงได้แต่ไม่มีบทบัญญัติในมาตราใดให้อำนาจศาลที่จะงดเบี้ยปรับเสียทั้งหมด ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปี จากต้นเงิน 2,230,000 บาท เท่ากับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไปอันเป็นอัตราปกติที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ก่อนผิดนัด จึงมีผลเท่ากับเป็นการงดเบี้ยปรับที่จำเลยต้องรับผิดชำระให้โจทก์เสียทั้งสิ้นไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 17.25 ต่อปี จากต้นเงิน 2,230,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์