สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

ไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืนเป็นความผิดฐานยักยอกหรือไม่

ไม่ว่าใครๆ ก็เคยเป็นผู้เช่ากันทั้งนั้น  เพราะเราไม่ได้มีต้นทุนเหมือนคนอื่นๆ  ซึ่งมีมากกว่าเรา  ดังนั้นเราต้องเช่าทรัพย์สินของผู้อื่นเพื่อเริ่มต้น  จึงปัญหาตามมาว่า  หากว่าในระหว่างเช่านั้น  ผู้เช่าได้ผิดนัดชำระค่าเช่ากับผู้ให้เช่า  จนกระทั่งผู้ให้เช่ามีความประสงค์จะเลิกสัญญาเช่าและให้เราออกจากทรัพย์สินที่เช่า  จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าในเวลาต่อมา  ผู้เช่ายังคงอยู่ที่ดินหรือครอบครองทรัพย์สินที่เช่าไม่ยอมคืนทรัพย์สินที่เช่า  ในกรณีเช่นนี้  ผู้เช่าจะมีความผิดอาญาข้อหา  ยักยอกทรัพย์หรือไม่ 

ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์นั้น  ผู้กระทำความผิดต้องมีการครอบครองทรัพย์แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นผู้ตนเองโดยทุจริตหรือแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  จึงจะมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  และมาพิจารณาในเรื่องของการเช่าทรัพย์กันบางว่ามีหลักกฎหมายอย่างไร  เช่าทรัพย์คือการที่ผู้ให้เช่าได้ให้ผู้เช่าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า  โดยมีค่าตอบแทนเป็นเงินค่าเช่า  ดังนั้น  การที่ผู้เช่าได้ครอบครองทรัพย์สินที่เช่า  เนื่องจากสัญญาเช่า  จึงเป็นการครอบครองทรัพย์สินที่เช่าแล้ว  ต่อมาหากพิจารณาว่า  ผู้เช่าเบียดบังเอาทรัพย์สินที่เช่าเป็นผู้ตนเองโดยทุจริตหรือไม่นั้น  การที่ผู้เช่าไม่ชำระเงินค่าเช่าจึงเป็นการผิดสัญญาเช่า  ก่อให้เกิดสิทธิของผู้ให้เช่าในการบอกเลิกสัญญาเช่าได้  เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่ากับผู้เช่าแล้ว  สัญญาเช่าย่อมระงับไป   ผู้เช่าต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าให้ผู้ให้เช่าต่อไป  แต่ปรากฏว่า  ผู้เช่าไม่ยอมคืนทรัพย์สินที่เช่า  ผู้เช่าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายในระหว่างที่ได้ครอบครองทรัพย์สินที่เช่า  โดยข้อกำหนดในสัญญาเช่า  เมื่อเป็นเช่นนี้  จึงเป็นการผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น  ไม่ใช่เป็นการที่ต้องรับผิดหรือกระทำความผิดในข้อหายักยอกทรัพย์  เพราะไม่ใช่การเบียดบังเอาทรัพย์สินที่เช่าเป็นของตนเองแต่อย่างใด 

ในกรณีเช่นนี้  มีกรณีตัวอย่างที่ต้องศึกษาประกอบดังนี้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2550

จำเลยที่ 1 ครอบครองเครื่องจักรยกของหนักบนอาคารสูงหรือปั้นจั่นหอสูงอันเป็นทรัพย์พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยที่ 1 มีหน้าที่จะต้องส่งคืนทรัพย์พิพาทแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในสัญญาเช่า

จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตลอดเวลาที่ครอบครองทรัพย์พิพาทตามข้อตกลงในสัญญา แม้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบคืนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ก็ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการเบียดบังที่จะเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริต กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่งไม่มีมูลความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์

 

คำพิพากษาศาลฎีกาตัวเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,352
ระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองทรัพย์พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยที่ 1 มีหน้าที่จะต้องส่งคืนทรัพย์พิพาทแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตลอดเวลาที่ครอบครองทรัพย์พิพาทตามข้อตกลงในสัญญา ทั้งผู้รับมอบอำนาจโจทก์และจำเลยทั้งสามยังได้ทำบันทึกตกลงที่สถานีตำรวจนครบาลโชคชัย ข้อที่ 2 ความว่า โจทก์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากจำเลยที่ 1 ก่อนในการที่จะจำหน่ายจ่ายโอนหรือเคลื่อนย้ายทรัพย์พิพาทไปทำกิจการใด ๆ ข้อที่ 5 ว่า ในส่วนค่าเสียหายในทางแพ่ง คู่กรณีจะได้ดำเนินการฟ้องร้องกันในชั้นศาลต่อไป และข้อ 6 นัดหมายส่งมอบทรัพย์พิพาทกันในวันที่ 22 พฤษภาคม 2543 ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี แม้จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบคืนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการเบียดบังที่จะเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริตหรือไม่ กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่งไม่มีมูลความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.