|
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งยี่สิบสี่กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ และเอกสารท้ายฟ้อง พร้อมด้วยคำเบิกความของโจทก์ ระบุไว้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยแต่ละคนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายใด มีอำนาจหน้าที่อย่างใด และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว เห็นว่า การพิจารณาว่าคำฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์เท่านั้น ส่วนเอกสารท้ายฟ้องแม้เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็เป็นเพียงส่วนแสดงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเท่านั้น ไม่อาจนำเอกสารท้ายฟ้องและคำเบิกความของโจทก์มาพิจารณาประกอบกับคำฟ้องด้วยดังที่โจทก์อ้างในฎีกา เมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งยี่สิบสี่กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้พอจับใจความได้ว่า เป็นการกล่าวหาว่า จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ในฐานะคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีโจทก์ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการดังกล่าว เพราะกระบวนการสอบข้อเท็จจริงขัดต่อระเบียบของหน่วยงาน และข้อสรุปของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีเหตุการณ์ที่โจทก์ไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจเกิดขึ้น ขัดแย้งกับรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และจำเลยที่ 3 ในฐานะรองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ให้ดูแลควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงานในพื้นที่ภาค 2 และเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบเรื่องการสอบข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบจากโจทก์แล้ว แต่ไม่สั่งการให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแก้ไขให้ถูกต้อง ส่วนจำเลยที่ 8 ถึงที่ 24 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการส่วนที่เกี่ยวกับการสอบข้อเท็จจริงกรณีพนักงานและลูกจ้างซึ่งอยู่เวรแก้กระแสไฟฟ้าขัดข้องดื่มสุราภายในสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดอุดรธานี โดยจำเลยที่ 8 ถึงที่ 12 ลงลายมือชื่อร่วมกันเสนอรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวไปยังจำเลยที่ 13 ในฐานะผู้อำนวยการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 13 สั่งการให้นำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองผลการสอบสวนที่มีจำเลยที่ 14 ถึงที่ 24 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 14 ถึงที่ 24 มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ทั้งที่รายงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่มีข้อสรุปว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ขัดแย้งกับที่ปรากฏในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 8 มีหนังสือสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นไปยังผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี โดยกล่าวด้วยว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดอุดรธานีได้ตรวจสอบในเบื้องต้นแล้ว ในขณะตรวจค้นไม่ได้มีการดื่มสุราส่งเสียงดัง จึงขอทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา และจำเลยที่ 7 มีหนังสือตอบไปยังจำเลยที่ 8 ในทำนองว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ขัดแย้งกับรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอีกด้วย ก็ตาม แต่การกระทำอันจะเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 นั้น ต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยเจ้าพนักงานผู้กระทำมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดด้วย โดยเฉพาะคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยทั้งยี่สิบสี่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะเหตุจากการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยพยานหลักฐานที่ได้มาจากการสอบข้อเท็จจริง หรือการใช้ดุลพินิจดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตน ซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ถูกต้อง หากไม่ปรากฏว่าการใช้ดุลพินิจของจำเลยทั้งยี่สิบสี่ตามคำฟ้องเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสี่ตามคำฟ้องของโจทก์ย่อมไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์ในข้อนี้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยทั้งยี่สิบสี่กระทำการตามคำฟ้องโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ อย่างไร คำฟ้องของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ในข้อนี้ไม่ครบองค์ประกอบความผิด เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
บทความที่น่าสนใจ-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร -การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ -คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้ -ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้ -ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร -ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ -หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่ -การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด -ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่ -ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร -คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว -การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่
|