ผู้เยาว์ที่อยู่ในความปกครองของผู้ดูแลๆเมื่อผู้เยาว์ทำละเมิดต้องร่วมรับผิดกับผู้เยาว์ |
---|
การที่ผู้เยาว์ที่อยู่ในความปกครองของตนเองซึ่งได้รับอนุญาตจากบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายให้ผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของตนแล้ว ถือว่าผู้นั้นอยู่ในฐานะเป็นผู้รับดูแลผู้เยาว์ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้รับดูแลนั้นไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการดูแลผู้เยาว์ ผู้เยาว์ได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น ผู้ดูแลนั้นๆจะต้องรับผิดชอบร่วมกับผู้เยาว์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๐ การที่จำเลยที่ 4 เป็นผู้ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถออกไปขับโดยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ห้ามปรามทั้งที่จำเลยที่ 4 ทราบดีว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์และไม่มีใบอนุญาตขับรถ เป็นการไม่เอาใจใส่ว่าจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ จะขับรถไปเสี่ยงแก่การเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ จำเลยที่ 4 ผู้รับดูแลจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์โดยปริยาย จึงมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการดูแลจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนอันเป็นการละเมิดต่อผู้อื่น จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ป.พ.พ. มาตรา 430 คดีทั้งสิบสองสำนวนนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีหมายเลขแดงที่ 3624/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 570/2557 และคดีหมายเลขแดงที่ 565/2557 ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 3624/2556 ถอนฟ้อง และตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 570/2557 คู่ความมิได้อุทธรณ์ ส่วนคดีหมายเลขแดงที่ 565/2557 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกโจทก์ในคดีดังกล่าวว่า โจทก์ที่ 20 และเรียกจำเลยทั้งเจ็ดในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ตามลำดับนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ออกจากสารบบความ และพิพากษายกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 4 โจทก์ที่ 20 ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในส่วนของโจทก์ที่ 20 คดีทั้งสามสำนวนจึงถึงที่สุด คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีสิบสองสำนวนนี้ โดยศาลชั้นต้นเรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4013/2554 ว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4014/2554 ว่า โจทก์ที่ 3 และที่ 4 เรียกโจทก์ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4015/2554 ว่า โจทก์ที่ 5 เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4016/2554 ว่า โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4018/2554 ว่า โจทก์ที่ 9 ที่ 10 และที่ 11 เรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4020/2554 ว่า โจทก์ที่ 12 และที่ 13 เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4021/2554 ว่า โจทก์ที่ 14 ที่ 15 ที่ 16 และที่ 17 เรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4022/2554 ว่า โจทก์ที่ 18 และที่ 19 เรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4024/2554 ว่า โจทก์ที่ 21 และที่ 22 เรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4027/2554 ว่า โจทก์ที่ 23 และที่ 24 เรียกโจทก์ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4028/2554 ว่า โจทก์ที่ 25 เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 4029/2554 ว่า โจทก์ที่ 26 ที่ 27 และที่ 28 ตามลำดับ กับเรียกจำเลยทั้งเจ็ดทั้งสิบสองสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ตามลำดับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังว่า นางนฤมล ผู้ขับรถตู้โดยสารมีส่วนประมาท แล้วลดจำนวนค่าขาดไร้อุปการะที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องรับผิดนั้น ชอบแล้วหรือไม่ และสมควรให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด ในปัญหานี้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 9 ถึงที่ 19 ที่ 21 ที่ 22 และที่ 25 ถึงที่ 28 ฎีกาว่า ศาลในคดีส่วนอาญาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดจึงผูกพันจำเลยที่ 1 ส่วนในเรื่องการมีส่วนประมาทของนางนฤมล คนขับรถตู้โดยสาร ศาลในคดีส่วนอาญาไม่ได้วินิจฉัยไว้ คงมีเพียงพฤติการณ์ในการขับรถของคนขับรถตู้โดยสารเท่านั้น และไม่ได้มีพยานหลักฐานที่พิสูจน์ว่า นางนฤมลขับรถด้วยความประมาท เหตุแห่งความเสียหายจึงเกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว ผู้ตายเป็นเพียงผู้โดยสารที่นั่งมาในรถตู้ ไม่ได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย และคดีนี้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่า เหตุเกิดจากความประมาทของนางนฤมล จำเลยที่ 2 จะต้องนำสืบพยานหลักฐานตามคำให้การ แต่จำเลยที่ 2 ไม่สืบพยาน จึงไม่มีข้อเท็จจริงให้รับฟังว่า นางนฤมลมีส่วนประมาท ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงในส่วนนี้และกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์แต่ละราย 4 ใน 5 ส่วน จึงคลาดเคลื่อนและขัดต่อกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า เหตุแห่งความเสียหายมิได้เกิดจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนในเรื่องที่รถตู้โดยสารแล่นคร่อมช่องทาง จำเลยที่ 1 กะพริบไฟขอทาง รถตู้โดยสารแล่นเปลี่ยนช่องทางจากขวาสุดมาช่องกึ่งกลาง เมื่อจำเลยที่ 1 เร่งความเร็วเพื่อขับแซงรถตู้โดยสาร ทันใดนั้นรถตู้โดยสารแล่นเบนหัวมาช่องขวาสุด ทำให้จำเลยที่ 1 ตกใจ ห้ามล้อพร้อมบีบแตรและหักพวงมาลัยไปทางซ้าย แต่ตามคำฟ้องในคดีอาญาไม่ปรากฏเรื่องการกะพริบไฟขอทางและหลักฐานรอยห้ามล้อของรถจำเลยที่ 1 ทำให้ไม่ได้มีการพิจารณาข้อเท็จจริงซึ่งจะเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และในส่วนของค่าเสียหาย ฝ่ายรถตู้โดยสารจะต้องรับผิดมากกว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เนื่องจากเป็นรถโดยสารสาธารณะ ทั้งในขณะเกิดเหตุรถตู้โดยสารแล่นมาด้วยความเร็วสูง และไม่ได้มีเข็มขัดนิรภัยทำให้ผู้โดยสารกระเด็นออกจากรถและเสียชีวิต แต่ผู้โดยสารไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากฝ่ายรถตู้ ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละราย จึงต้องลดจำนวนลง นั้น เมื่อแต่ละฝ่ายฎีกาโต้เถียงเรื่องการมีส่วนประมาทของนางนฤมลและจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องรับผิด จึงเห็นควรวินิจฉัยฎีกาไปพร้อมกัน เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ในคดีอาญาที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องในเหตุครั้งนี้ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับฟังข้อเท็จจริงสรุปความได้ว่า รถของจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนกับรถตู้โดยสาร แล้วรถตู้โดยสาร |
แล่นเข้าปะทะกับเสา cctv ซึ่งเป็นการชนปะทะอย่างรุนแรง เกิดความเสียหายแก่รถตู้โดยสารถึงกับหลังคาโค้งงอ ขณะรถตู้โดยสารเข้าปะทะกับเสา cctv เป็นการเข้าปะทะด้วยความแรง ซึ่งเกิดจากรถตู้โดยสารยังมีความเร็วสูงอยู่มาก พฤติการณ์แห่งคดีส่อแสดงว่า รถทั้งสองคันแล่นด้วยความเร็วสูงมาก การที่รถของจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นตามหลังสามารถแล่นทันและเข้าเฉี่ยวชนกับรถตู้โดยสาร แสดงว่ารถของจำเลยที่ 1 แล่นด้วยความเร็วสูงกว่ารถตู้โดยสาร จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินขีดจำกัดความเร็วในทางยกระดับแล่นแซงรถตู้โดยสาร แล้วรถของจำเลยที่ 1 เสียหลักชนท้ายรถตู้โดยสารจนเกิดเหตุขึ้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายประมาท จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดดังกล่าว ส่วนเรื่องการมีส่วนประมาทของนางนฤมล ศาลในคดีส่วนอาญามิได้วินิจฉัยไว้ และปัญหาดังกล่าวหาใช่ประเด็นโดยตรงในคดีส่วนอาญาไม่ ที่ศาลในคดีส่วนอาญาให้เหตุผลประกอบคำวินิจฉัยว่า นางนฤมลขับรถตู้โดยสารมาด้วยความเร็วสูงเป็นเพียงแสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วที่สูงมากจนแล่นทันรถตู้โดยสารแล้วรถของจำเลยที่ 1 เสียหลักเฉี่ยวชนรถตู้โดยสารซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูงเช่นกัน ทำให้รถตู้โดยสารเสียหลักไปปะทะกับเสาริมทางจนเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง เป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 1 เฉพาะจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้กระทำความผิดในเหตุครั้งนี้ คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มาฎีกาในทำนองว่า คำฟ้องในคดีอาญาไม่ได้กล่าวถึงพฤติการณ์การขับรถที่ไม่เป็นปกติของนางนฤมล ซึ่งหากมีข้อเท็จจริงดังกล่าวก็จะเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 หาได้เป็นสาระแก่คดีไม่ สำหรับข้อโต้เถียงที่ว่า เหตุเกิดจากความประมาทของนางนฤมลนั้น จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อฝ่ายโจทก์นำสืบถึงเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถเฉี่ยวชนรถตู้โดยสารก่อให้เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรง และจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีอาญามีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับพฤติการณ์ในการขับรถตู้โดยสารของนางนฤมล เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 2 ก็ไม่ติดใจสืบพยานบุคคลใดๆ แต่ขอส่งพยานเอกสารและภาพถ่ายพยานวัตถุในสำนวนคดีอาญาประกอบการพิจารณา ซึ่งทนายฝ่ายโจทก์คัดค้าน และศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ส่งพยานหลักฐานดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานอันใดที่จะแสดงว่านางนฤมลขับรถโดยประมาท ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า นางนฤมลมีส่วนประมาทในอุบัติเหตุครั้งนี้ การที่ศาลอุทธรณ์นำพฤติการณ์การขับรถตู้โดยสารของนางนฤมลดังที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามารับฟังว่า นางนฤมลมีส่วนประมาท แล้วลดจำนวนค่าเสียหายในส่วนค่าขาดไร้อุปการะให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์แต่ละราย 4 ใน 5 ส่วน จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เมื่อพิจารณาว่า อุบัติเหตุรุนแรงครั้งนี้เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่ 1 ผู้โดยสารที่นั่งในรถตู้โดยสารหาได้มีส่วนทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใดไม่ หากแต่เป็นผู้ได้รับเคราะห์ภัยจากอุบัติเหตุจนต้องเสียชีวิต สำหรับนางนฤมล ผู้ขับรถตู้โดยสารที่ถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงก็ยังรับฟังไม่ได้ว่า นางนฤมลมีส่วนประมาทด้วย เช่นนี้ จึงไม่มีเหตุที่จะลดจำนวนค่าเสียหายในส่วนค่าขาดไร้อุปการะ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า ฝ่ายรถตู้โดยสารต้องรับผิดมากกว่าเพราะเป็นรถโดยสารสาธารณะและไม่มีเข็มขัดนิรภัย ก็หาได้มีเหตุผลให้รับฟังไม่ ในเมื่อจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวขับรถโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหาย และค่าขาดไร้อุปการะที่กำหนดให้แก่โจทก์แต่ละรายเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่มีข้ออ้างที่จะขอลดจำนวนค่าเสียหายลงอีก เมื่อเป็นดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าขาดไร้อุปการะเต็มจำนวนแล้วลดหย่อนให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดชดใช้ 4 ใน 5 ส่วน นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงสมควรแก้ไขโดยให้จำเลยที่ 1 ถึง 3 รับผิดในค่าขาดไร้อุปการะเต็มจำนวน ดังนั้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 5 เป็นเงิน 1,800,000 บาท โจทก์ที่ 9 เป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์ที่ 10 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 11 เป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์ที่ 12 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 13 เป็นเงิน 1,800,000 บาท โจทก์ที่ 14 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 15 เป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์ที่ 16 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 18 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 19 เป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์ที่ 21 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 22 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์ที่ 25 เป็นเงิน 150,000 บาท โจทก์ที่ 26 เป็นเงิน 150,000 บาท โจทก์ที่ 27 เป็นเงิน 100,000 บาท และโจทก์ที่ 28 เป็นเงิน 150,000 บาท สำหรับโจทก์ที่ 17 ฎีกาขอให้กำหนดค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 1,800,000 บาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่คำฟ้องในส่วนของโจทก์ที่ 17 ขอเรียกค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 1,243,116.84 บาท เท่านั้น เมื่อค่าขาดไร้อุปการะที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์ที่ 17 เป็นเงิน 1,000,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะจำนวนดังกล่าวเหมาะสมแล้ว จึงให้เป็นไปตามจำนวนเงินนั้นโดยไม่ต้องลดส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 9 ถึงที่ 16 ที่ 18 ที่ 19 ที่ 21 ที่ 22 และที่ 25 ถึงที่ 28 จึงฟังขึ้น และฎีกาของโจทก์ที่ 17 ฟังขึ้นบางส่วน สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
|
บทความที่น่าสนใจ |
-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร
|